Wavy Tail

หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556












รัฐธรรมนู แห่งราชอาณาจักรไทย

ความเป็นมาและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550
ที่มาและกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญนับว่ามีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งหากเปรียบเทียบบทบัญญัติเกี่ยวกับกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญถาวรในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่เกิดขึ้นในอดีตเปรียบเทียบกัน  ก็จะเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นที่มา ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
ความสำคัญของรัฐธรรมนูญ
1.  ยืนยันความเป็นเอกราชของประเทศไทย
2. รับรองความเป็นเอกรัฐของประเทศไทย
3. ยืนยันว่าประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรง

เป็นประมุข ซึ่งทรงใช้อำนาจ ผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล


รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงได้บัญญัติหลักการสำคัญ ๆ ไว้ด้วยกัน 4 ประการดังนี้

1. การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่
2. การลดการผูกขาดอำนาจรัฐและการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม
3. การทำให้การเมืองมีความโปร่งใส มีคุณธรรมและจริยธรรม
4. การทำให้ระบบตรวจสอบมีความเข้มแข็งและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวทางการปฏิบัติตนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
1.เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการทางประชาธิปไตยทุกระดับ
2.ทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบการใช้อำนาจของสมาชิกสภา  ผู้แทนราษฎรและผู้บริหารทุกระดับอย่างใกล้ชิด
บทบัญญัติเกี่ยวกับรัฐสภา  คณะรัฐมนตรีและศาล
รัฐสภา
1.ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
2.ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานวุฒิสภา  ประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา
3.ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติจะตราเป็นกฎหมายได้ก็โดคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
4.สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 500 คนอยู่ในตำแหน่งกำหนด 4 ปี จากวันเลือกตั้ง
5.พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎร
6.ประชาชนทุกคนที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่รัฐกำหนดมีสิทธิเป็นผู้ออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาเสมอกัน
7.การลงมติวินิจฉัยข้อปรึกษาให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ
8.การประชุมสภาฯองค์ประชุมต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่
9.ในแต่ละปีให้มีการเปิดสมัยประชุม 2 ครั้ง ครั้งละ 120 วัน
10.วุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  150 คน
คณะรัฐมนตรี
1.พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีอันประกอบด้วย  นายกรัฐมนตรี 1 คนและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน
2.ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนากยกรัฐมนตรี
3.นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งรัฐมนตรี
4.ก่อนเข้ารับหน้าที่ ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์
5.นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต้องไม่เป็นข้าราชการประจำและต้องไม่ดำรง
   ตำแหน่งหรือกระทำการใด ๆ ที่มีลักษณะขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่
6.คณะรัฐมนตรีต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาพและชี้แจงการดำเนินการตาม  
   นโยบายพื้นฐานโดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ
7.ในการบริหารราชการแผ่นดินรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติและ
   ต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตน
8. รัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
    - มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
    - มีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี บริบูรณ์
    - สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
    - ไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
    - ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก
    -  ไม่เป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสิ้นสุดลงแล้วไม่เกิน 2 ปี
9. คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ เมื่อ
    -  อายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือเมื่อมีการยุบสภา
    -  คณะรัฐมนตรี ลาออก
    -  ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
10.ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อ
     - ตาย
     - ลาออก
     - ขาดคุณสมบัติ
     - สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ
     - ต้องพิพากษาให้จำคุก
     - มีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง
     - กระทำการอันต้องห้ามตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
     - วุฒิสภามีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง
11. คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อจนกว่า
      คณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่
ศาล
1.การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล
2.การบัญญัติกฎหมายให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายหรือวิธีพิจารณาเพื่อใช้แก่คดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะจะกระทำมิได้
3.ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยย่อมมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณา คดีที่ถูกต้องด้วยความรวดเร็วและเป็นธรรม
4.ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี
5.ก่อนที่เข้ารับหน้าที่ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์
6.ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย ประธานศาลรัฐธรรมนูญ 1 คนและตุลาการศาล รัฐธรรมนูญอื่นอีก 8 คน โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี
7.คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด
8.  ศาลยุติธรรมมีสามชั้นคือ ศาลชั้นต้น  ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา
9.  ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ
10.ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา  และคดีอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
บทบัญญัติเกี่ยวกับพรรคการเมือง  การเลือกตั้ง  รัฐบาล และการจัดตั้งรัฐบาล
พรรคการเมือง
1.ความหมายของพรรคการเมืองคือกลุ่มบุคคลที่มีความคิดและผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ  สังคมและการเมืองที่คล้ายคลึงกัน
2.บทบาทและหน้าที่ของพรรคการเมือง
   - วางนโยบายในการแก้ไขปัญหาของประเทศ
   - พิจารณาคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
   - การดำเนินการหาเสียงเลือกตั้ง
   - นำนโยบายของพรรคที่ได้แถลงแก่ประชาชน
   - ให้การศึกษาและอบรมความรู้ทางการเมือง
   -  หน้าที่ในการควบคุมการทำงานของรัฐบาล
การเลือกตั้งของไทย
การเลือกตั้งถือเป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่สำคัญ ดังนี้
1.เป็นวิธีการที่ทำให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองตามหลักประชาธิปไตย
2.เป็นวิธีการที่ใช้เปลี่ยนอำนาจทางการเมืองการปกครองที่ทันสมัยและเป็นไปอย่างสันติวิธี
3.ป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร
4.เป็นวิธีการที่จะทำให้เกิดการหมุนเวียนเปลี่ยนอำนาจ
5.เป็นวิธีการสร้างความถูกต้องและชอบธรรมในการใช้อำนาจทางการเมือง
หลักอิสระแห่งการเลือกตั้ง
1.หลักอิสระแห่งการเลือกตั้ง (การให้อิสระต่อการออกเสียงเลือกตั้งโดยมีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกใครหรือพรรคการเมืองใดก็ได้ )
2.หลักการเลือกตั้งตามกำหนดเวลา ( การเลือกตั้งต้องมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนไว้ )
3.หลักการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม (เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ไม่มีการคดโกง )
4.หลักการใช้สิทธิในการเลือกตั้งอย่างเสมอภาค(ให้สิทธิ ไม่มีการกีดกันหรือจำกัดสิทธิบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นพิเศษ )
5.หลักการออกเสียงทั่วไป ( เปิดโอกาสให้มีการออกเสียงอย่างทั่วถึงแก่ประชาชน )
6.6. หลักการลงคะแนนลับ ( การออกเสียงเลือกตั้งของประชาชนเป็นสิทธิของผู้เลือกตั้งโดย เด็ดขาด ได้รับการปกป้องโดยการออกเสียงลงคะแนนลับ )
การรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของการเลือกตั้ง
ทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างยุติธรรมที่สุด ปราศจากการทุจริตคดโกงต่าง ๆ
สิ่งเลวร้ายที่เรามักจะพบเป็นกันอยู่เสมอ คือ
  1. การใช้อิทธิพลจากทางราชการ
  2. การทำลายคู่แข่งขัน
  3. การใช้เงินเพื่อซื้อคะแนนเสียง
รัฐบาล
คือคณะบุคคลและองค์กรซึ่งมีหน้าที่ในการบริหารประเทศและบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ
1.หน้าที่ของรัฐบาล
   - เป็นผู้กำหนดนโยบายว่าจะกระทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
   - นำนโยบายไปปฏิบัติทำให้เกิดผลอย่างแท้จริง
2. ประสิทธิภาพในการบริหารงานของรัฐบาล  ขึ้นอยู่กับความสามารถและความรับผิดชอบของ
    คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลซึ่งรัฐบาลที่ดีควรมีความสามารถในด้านต่าง ๆ ดังนี้
    - ความสามารถในการตอบสนอง
    - ความสามารถในการรับผิดชอบต่อหน้าที่
    - ความสามารถในการติดตามและควบคุม
   -  ความสามารถในการประสานงาน
การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่ารัฐธรรมนูญฉบับอื่น ๆ ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในหมวด 3 ว่าด้วยเรื่องของสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยมาตรา 87
  รวมทั้งยังได้กำหนดหลักเกณฑ์ และ วิธีการตรวจสอบผู้ใช้อำนาจรัฐขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้อำนาจรัฐให้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและเที่ยงธรรมอีกด้วย










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น